คุณกำลังอ่าน
ทำความรู้จัก องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ก่อนไปเลือกตั้ง

สาระน่ารู้
ทำความรู้จัก อ งค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ก่อนไปเลือกตั้ง
องค์การบริหารส่วนตำบลคำนาดี
วันอังคารที่ 15 ธันวาคม 2563
ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ประกาศกำหนดให้มีการเลือกตั้ง อบจ. ทั่วประเทศขึ้นเป็นครั้งแรก โดยกำหนดให้วันที่ 20 ธันวาคม 2563 เป็นวันเลือกตั้งนั้น วันนี้ องค์การบริหารส่วนตำบลคำนาดี ได้รวบรวมสาระน่ารู้เกี่ยวกับองค์การบริหารส่วนจังหวัด ซึ่งเป็นรูปแบบการปกครองท้องถิ่นรูปแบบหนึ่งที่มีความใกล้ชิดประชาชน และเกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนมาให้ท่านได้ทำความรู้จัก ก่อนเข้าคูหาไปเลือกตั้ง เลือกคนดี คนเก่ง เข้าไปบริหารท้องถิ่นของเรา
การปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นรูปแบบการปกครองตามหลักการกระจายอำนาจ มีวัตถุประสงค์ให้ประชาชนในท้องถิ่นได้มีโอกาสตัดสินใจเรื่องในท้องถิ่นเอง และมีอำนาจปกครองกันเอง เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาและตอบสนองความต้องการของชุมชนได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และตรงกับความต้องการของชุมนุมนั้น ๆ โดยไม่ต้องอาศัยองค์กรจากส่วนกลางเป็นผู้นำในการแก้ไขปัญหาทุกเรื่อง
รูปแบบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของประเทศไทย แบ่งออกเป็น องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เทศบาล เมืองพัทยา และกรุงเทพมหานคร ซึ่งโดยหลักทุกองค์กรจะมีการเลือกตั้งตามวาระของตัวเอง คือ ทุก 4 ปี แต่เนื่องจากมีการรัฐประหารของ คสช. ทำให้การเลือกตั้งท้องถิ่นต้องถูก “แช่แข็ง” ไว้ และเว้นว่างไปนานกว่า 6 ปี หรือบางพื้นที่เป็นเวลากว่า 8 ปี
เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2563 คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ประกาศกำหนดให้มีการเลือกตั้ง อบจ. ทั่วประเทศขึ้นเป็นครั้งแรก โดยกำหนดให้วันที่ 20 ธันวาคม 2563 เป็นวันเลือกตั้ง
อบจ. เป็นหน่วยงานของรัฐที่มีความเกี่ยวพันและสำคัญกับชีวิตของคนในท้องถิ่นมากที่สุด อบจ. เปรียบเสมือนหัวหน้าห้องที่คอยดูแล บำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับเพื่อนนักเรียนในห้อง ทั้งความใกล้ชิด และสนิทสนมของคนในพื้นที่ ย่อมทำให้การบริการสาธารณะด้านต่าง ๆ ตรงกับความต้องการของคนในท้องถิ่นนั้นได้อย่างแท้จริง ดังนี้
1. องค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือ อบจ. เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่ มีจังหวัดละ 1 แห่งทั่วประเทศ ยกเว้นกรุงเทพมหานคร มีเขตพื้นที่รับผิดชอบครอบคลุมอาณาเขตของทั้งจังหวัด
อบจ. มีโครงสร้างการบริหาร ประกอบด้วย นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร และมีสมาชิกสภาองค์การบริการส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) ทำหน้าที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ มีอำนาจพิจารณาออกกฎระเบียบต่าง ๆ และพิจารณาการจัดสรรงบประมาณ
2. การได้มาซึ่งนายกอบจ.และ ส.อบจ. นั้นมาจากเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน โดยที่การเลือกนายก จะใช้จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง และ ส.อบจ. ใช้อำเภอเป็นเขตเลือกตั้ง โดยแต่ละจังหวัดจะมี ส.อบจ. จำนวนเท่าใด ขึ้นอยู่กับจำนวนราษฎรในจังหวัดนั้น โดยนำมาถัวเฉลี่ยแล้วแบ่งเขตเลือกตั้งภายในอำเภอนั้น ๆ ได้แก่
จำนวนราษฎร ไม่เกิน 500,000 คน มีจำนวน ส.อบจ. 24 คน
จำนวนราษฎร เกิน 500,000 คน แต่ไม่เกิน 1 ล้านคน มีจำนวน ส.อบจ. 30 คน
จำนวนราษฎร เกิน 1 ล้านคน แต่ไม่เกิน 1.5 ล้านคน มีจำนวน ส.อบจ. 36 คน
จำนวนราษฎร เกิน 1.5 ล้านคน แต่ไม่เกิน 2 ล้านคน มีจำนวน ส.อบจ. 42 คน
จำนวนราษฎร เกิน 2 ล้านคนขึ้นไป มีจำนวน ส.อบจ. 48 คน
นอกจากนี้ ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกอบจ.และ ส.อบจ. ไม่จำเป็นต้องมีสังกัดพรรคการเมืองเหมือนกับการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ผู้สมัครสามารถลงเลือกตั้งได้อย่างอิสระ รวมถึง ตัวผู้สมัคร ส.อบจ.เองก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ในสังกัดของผู้สมัครนายกอบจ.อีกเช่นเดียวกัน
3. ภารกิจของอบจ. คือ การจัดทำบริการสาธารณะให้กับคนในท้องถิ่น เริ่มตั้งแต่การดูแลถนน เส้นทางคมนาคมต่าง ๆ สาธารณูปโภคทั้งการประปา ไฟฟ้า ไปจนถึงการสนับสนุนด้านการศึกษาและบำรุงรักษาศิลปะ จารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น รวมทั้งมีหน้าที่จัดเก็บภาษีเพื่อเป็นรายได้
4. รายได้หลักของอบจ. มาจากการเก็บภาษีต่าง ๆ ในจังหวัด เช่น ภาษีบำรุงท้องที่ ภาษีโรงเรือนและที่ดิน ภาษีป้าย เป็นต้น รวมถึงเงินอุดหนุนที่ได้รับจากรัฐบาลในทุกปีงบประมาณ โดยงบประมาณดังกล่าวจะต้องถูกนำมาจัดสรรเพื่อนำไปพัฒนาจังหวัดในด้านต่าง ๆ อย่างเท่าเทียมกัน
5. นายกอบจ. มีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละ 4 ปีนับแต่วันเลือกตั้ง และจะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกิน 2 วาระไม่ได้ ในส่วนของ ส.อบจ. ก็มีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละ 4 ปีนับแต่วันเลือกตั้งเช่นเดียวกัน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก